วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ผักเสี้ยนฝรั่ง



ผักเสี้ยนฝรั่ง หรือ spider flower ( ดอกไม้แมงมุม ) หรือเรียกอีกหลายชื่อตามแต่ละท้องถิ่น ชื่อวิทยาศาสตร์คือ CLEOME SPINOSA LINN. อยู่ในวงค์  CAPPARACEAE เป็นพืชล้มลุก ต้นสูงประมาณ 80 - 100 เซนติเมตร
ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ มีสีเขียว ใบเป็นรูปหอกปลายใบแหลม
ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง มีสีหลายสีที่สวยงาม เช่น สีม่วง ขาว ชมพู
เมล็ดออกเป็นฝักทรงกระบอกที่มีเมล็ดภายในจำนวนมากเมื่อแก่จะแตกออก
ประโยชน์ปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อความสวยงามทั้งในกระถาง และ เป็นทุ่งดอกไม้


















วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คำชม..ใคร ๆ ก็อยากได้



บล็อกนี้นำบทความจากหนังสือรายการกระจายเสียงมาเล่าต่อให้เพื่อนฟังกันอีกนะค่ะ บทความเรื่อง คำชม ใคร ๆ ก็อยากได้ของ คุณ อินทิรา  ปัทมินทร นักจิตวิทยา กองสุขภาพจิต ที่พิมพ์ไว้ในหนังสือดังต่อไปนี้

คำชม...ใคร ๆ ก็อยากได้

ระหว่าง คำติ กับ คำชม คุณผู้อ่านชอบอย่างไหนมากกว่ากัน ถ้าทายไม่ผิด คิดว่าส่วนใหญ่คงชอบคำชมกว่า เพราะเมื่อได้ยินคำชมจิตใจย่อมจะเกิดความยินดี และเป็นปลื้มขึ้นมาทันทีใบหน้าก็ยิ้มแย้มได้โดยอัตโนมัติผิดกับเมื่อตอนถูกติ แม้จะเป็นการติเพื่อก่อก็ตาม ในขณะนั้นจิตใจย่อมจะขุ่นมัว ปากอยากจะตอบโต้หรือแก้ตัว อย่างดีคงได้แค่ยิ้มแค่น ๆ เท่านั้น

คำชม ก่อให้เกิดผลดีทั้งต่อผู้ให้และผู้รับ คือ ผู้รับก็ชื่นใจผู้ให้ก็ได้รับไมตรี เป็นการตอบแทน ทั้งนี้ต้องเป็นคำชมอย่างจริงใจ ไม่ใช่ชมด้วยปากแต่ถากถางด้วยสายตา หรือชมในทำนองเสียดสี ซึ่งผู้รับอาจจะรู้สึกก้ำกึ่งกันว่ากำลังถูกชมหรือถูกติกันแน่ ไหน ๆ จะชมกันทั้งทีแล้วขอให้เหมาะกับกาลเทศะด้วยก็แล้วกัน

การชม ไม่ใช่การยกยอ การยกยอมักเป็นไปเพื่อหวังประโยชน์อะไรสักอย่าง และมักจะเป็นในลักษณะเลิศลอย ผิดความจริง ทำให้ผู้ฟังเหลิงเอาได้ง่าย ๆ พวกที่ชอบพูดยกยออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพวกประจบสอพลอซึ่งหาความจริงใจได้ยาก ถ้าคุณผู้อ่านรู้สึกตัวว่ากำลังถูกยกยออยู่ละก็ ให้เร่งระวังตัว ทำใจให้หนักแน่นเข้าไว้ มิเช่นนั้นอาจหลงตามคำเขา แล้วถูกหลอกใช้ได้ง่าย ๆ

 ในทางจิตวิทยา คำชม ถือเป็นการให้รางวัลอย่างหนึ่งด้วยเช่น เมื่อเด็กตั้งใจเรียน สอบได้คะแนนดี พ่อแม่อาจไม่จำเป็นต้องให้สิ่งของเป็นรางวัลเสมอไปเพียงแค่โอบกอดแล้วชมเชยให้ชื่นใจเท่านั้นก็อาจจะเพียงพอแล้ว หรือในผู้ใหญ่ เมื่อลูกน้องทำงานดี หัวหน้าก็ควรจะชมเชยบ้าง เป็นการให้กำลังใจกัน แล้วสิ้นปีจะขึ้นเงินเดือน 2 ขั้นให้ด้วยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะตามมาภายหลัง

 คำชม สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนได้ด้วย เด็กเกเรถ้าผู้ใหญ่ยิ่งดุยิ่งว่าก็ยิ่งจะเกเรหนักขึ้น แต่ถ้าหันมาชมเชยบ้าง มองหาข้อดีของเด็กให้พบพูดกับเขาดี ๆ ก็อาจจะกลับตัวกลับใจกลายมาเป็นคนดีได้ หรือในการทำงาน บางคนอาจจะทำงานดี แต่ไม่เคยได้รับการเอาใจใส่ หรือได้รับคำชมเชยจากเจ้านายบ้างเลย ก็อาจจะรู้สึกเนือย ๆ ทำงานไปวัน ๆ ถ้าเจ้านายหันมาใส่ใจลูกน้องและพูดจาชมเชยผลงานของเขาบ้าง ลูกน้องจะเกิดความภาคภูมิใจและตั้งใจทำงานมากขึ้น เพราะรู้สึกตัวว่าเป็นที่สนใจของเจ้านายอยู่เสมอ

 บางครั้งคนเราก็ชอบจับผิดกัน อย่างที่ว่ากันว่า " ความผิดของผู้อื่นเท่าขุนเขา ความผิดของเราเท่าเส้นผม "  คือ มองเห็นความผิดในตัวเราเอง เราจึงมักเห็นแต่ข้อเสีย ข้อด้อย ข้อไม่ดีของคนอื่น เลยหาเรื่องมาชมกันไม่ค่อยได้ จิตใจก็พาลจะคับแคบลงทุกที

เพราะฉะนั้น เพื่อเปิดใจตัวเองให้กว้างขึ้น ต่อแต่นี้ไปเราจึงน่าจะเปลี่ยนมาลอง " จับถูก " แทนการ " จับผิด " ดูบ้าง หาข้อดี ข้อเด่น ของผู้ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงหรือผู่ร่วมงานก็ตาม แล้วยกเอาข้อดีมาชมเชยให้เขาเหล่านั้น ชื่นใจกันบ้าง เราเองก็จะได้รับไมตรีเป็นการตอบแทน คงไม่มีใครจะโกรธ เกลียดคนที่ชมเรา

สามีควรชมภรรยาบ้างว่าทำอาหารอร่อย ภรรยาก็ชมสามีว่าเป็นคนดี รักครอบครัว พ่อแม่ชมลูกว่าเป็นเด็กน่ารัก เพื่อชมเพื่อนว่าเป็นคนดีมีน้ำใจ เจ้านายชมลูกน้องว่าทำงานดี มีความคิดริเริ่ม ฯลฯ เพราะใคร ๆ ก็อยากได้คำชมด้วยกันทั้งนั้น

วันนี้คุณชมใครบ้างหรือยังคะ?

ขอบคุณบทความดี ๆ อินทิรา ปัทมินทร์ จากหนังสือรายการจายเสียง วิทยุศึกษา เดือน พฤศจิกายน 2533 หน้า 37 - 39




วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560

โรคอ้วนและยาลดความอ้วน


บล็อกนี้นำบทความเรื่องโรคอ้วนและยาลดความอ้วนมาให้เพื่อน ๆอ่านกัน บทความดี ๆจากวิทยุศึกษาดังต่อไปนี้นะค่ะ

โรคอ้วนและยาลดความอ้วน
 ในสมัยก่อนผู้ที่มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แสดงถึงความเป็นผู้มีการกินดีอยู่ดี ปัจจุบันความคิดเช่นนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปไม่มีใครปรารถนาที่จะเป็นคนอ้วนยังถือว่าความอ้วนเป็นโรคชนิดหนึ่ง เพราะคนอ้วนมักจะเกิดความกังวลในรูปร่างของตนไม่มีความคล่องตัวในการทำงานแล้วยังมีแนวโน้นที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น ในปัจจุบันจึงเกิดสถานบริการลดความอ้วนขึ้นจำนวนมาก

 โรคอ้วน เป็นภาวะที่มีไขมันสะสมในร่างกายเกิดการกินอาหารเกินความต้องการของร่างกายที่จะนำไปใช้ในการทำงาน และซ่อมแซมเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ อาหารส่วนที่เหลือจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งสาเหตุของโรคอ้วนมีด้วยกันหลายประการเช่นความบกพร่องของระบบประสาทส่วนกลาง กรรมพันธ์ุ ยา สภาวะแวดล้อมทางสังคม อาชีพ ลักษณะอาหารในท้องถิ่น ขาดการออกกำลังกาย ภาวะทางจิตใจซึ่งการกินเป็นความสุขอย่างหนึ่งเป็นต้น

 การลดความอ้วน สามารถกระทำได้หลายวิธี ที่นิยมปฎิบัติในปัจจุบันคือ การควบคุมอาหารการออกกำลังกาย และการรับประทานยาลดความอ้วน วิธีการควบคุมอาหารกระทำโดยรับประทานอาหารประเภทโปรตีน ( เนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันติด )อาหารที่มีกากได้แก่ ผัก ผลไม้ ลดปริมาณอาหารที่ให้พลังงานสูงซึ่งได้แก่ ไขมัน แป้ง น้ำตาล น้ำอัดลม เบียร์ เหล้า ขนมหวาน รวมถึงผลไม้ที่มีรสหวาน เช่น ทุเรียน มะม่วงสุก องุ่น ละมุด การรับประทานทุกมื้อไม่ควรงดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะรับประทานชดเชยเมื่อมีอาการหิวจัดแล้วยังควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยอย่างสม่ำเสมอ เป็นการนำอาหารที่ได้รับเข้าไปเปลี่ยนแปลงใช้เป็นพลังงาน ทำให้เกิดหลงเหลือสะสมเป็นไขมันเพียงเล็กน้อยการออกกำลังยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพอนามัยให้แข็งแรงอีกด้วย ควรทำอย่างสม่ำเสมอและนานพอสมควร แต่ไม่ควรหักโหมเกินไป

 การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย เป็นวิธีการลดความอ้วนที่ได้ผลดีและปลอดภัย เนื่องจากเป็นการควบคุมปริมาณอาหารที่นำเข้าสู่ร่างกาย และเพิ่มการใช้พลังงานทำให้หลงเหลือสะสมเป็นไขมันเพียงเล็กน้อย แต่วิธีดังกล่าวเป็นวิธีที่ทำได้ยากต้องอาศัยความตั้งใจ กำลังใจอย่างมาก มิฉะนั้นก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้จึงมีการพยายามที่จะหาวิธีอื่นเข้ามาช่วย ซึ่งก็คือ การรับประทานยาลดความอ้วน

 ยาลดความอ้วน ที่ใช้กันในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นยาที่อยู่ในกลุ่มใกล้เคียงกับยาแอมเฟตามีน ( amphetamine ) ซึ่งยานี้เป็นที่รู้จักกันในท้องตลาดว่า " ยาม้า " เป็นยากระตุ้นประสาท แก้ง่วง ยาลดความอ้วนเหล่านี้ออกฤทธิ์โดยกระตุ้นศูนย์ควบคุมความหิวในสมองทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร ด้วยเหตุที่ยาเหล่านี้ออกฤทธิ์ต่อสมองโดยตรง จึงทำให้เกิดมีอาการไม่พึ่งประสงค์มากมาย เช่น อาการใจสั่น นอนไม่หลับ กระวนกระวายใจ ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ มึนงง และถ้าใช้ติดต่อกันนาน ๆ จะทำให้เกิดติดยาและดื้อยาในที่สุด จะต้องเพิ่มปริมาณยาขึ้นเรื่อย ๆ จึงจะให้ผลการรักษาเท่าเดิม ซึ่งผลการรักษาเท่าเดิม ซึ่งผลของยาจะทำให้มีอาการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ คือ มีควาามหวาดระแวง ประสาทหลอนขึ้น ดังนั้นการใช้ยาลดความอ้วนควรหลีกเลี่ยงให้ผู้ที่มีแนวโน้มจะติดยาได้ง่าย เช่น คนติดเหล้า หรือผู้ที่มีอาการซึมเศร้า มีความเครียดสูง ปวดศรีษะ ไมมเกรน เพราะจะทำให้อาการรุนแรงเพิ่มขึ้นปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้ยาเหล่านี้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทซื้อขายตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น

 นอกจากยาในกลุ่ม แอมเฟตามีนแล้ว มียาหลายชนิดที่ได้นำมาใช้ในการลดความอ้วนด้วย ตัวอย่างได้แก่ ยาถ่าย ยาขับปัสสาวะ ยาที่ทำให้อุจจาระรวมตัวเป็นก้อนในลำไส้ ( Bulk producing agent ) ซึ่งยาเหล่านี้ไม่ควรนำมาใช้ในการลดความอ้วน เพราะไม่ค่อยได้ผลและอาจทำให้เกิดอันตรายในการใช้สูง ยาถ่าย ทำให้สูญเสียน้ำและเกลือแร่จากร่างกาย ยาขับปัสสาวะ ทำให้น้ำหนักลดโดยการสูญเสียน้ำ แต่ไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณไขมันในเนื้อเยื่อ ยาที่ทำให้อุจจาระในลำไส้รวมตัวเป็นก้อน เช่น เมทธิล เซลลูโลส ( methyl Cellulose ) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์เทียมเซลลูโลสจากผัก จะทำให้รู้สึกอิ่ม แต่มีผลระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร เป็นต้น

 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ขอแนะนำวิธีการลดความอ้วนที่ดีและปลอดภัยคือ ควรใช้การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และที่สำคัญที่สุดจะต้องระลึกไว้เสมอว่า ยาลดความอ้วนเพียงอย่างเดียว ไม่มีประโยชน์ในการใช้ลดความอ้วน จะต้องใช้ร่วมไปกับวิธีการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารด้วยจึงจะได้ผลดี

บทความจาก สคบ.สาร ปีที 10 ฉบับที่114 มิถุนายน 2532  จากหนังสือรายการกระจายเสียงวิทยุศึกษาฉบับ เดือนกันยายน 2533 หน้า 17 - 20












วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ดอกพวงคราม ( Purple wreath )




ดอกพวงคราม ชื่อสามัญ Purple wreath ชื่อวิทยาศาสตร์ Petrea volubilis  อยู่ในวงศ์ Verbenaceae เป็นไม้เถาเลื้อยขนาดกลาง สามารถเลื้อยได้ไกลถึง 10 - 12 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน ใบกว้าง 5-7 ซ.ม. ยาว 8 -10 ซ.ม. ใบหนาและสากแข็ง ใบรูปหอกปลายใบปลายแหลม
ดอกสีม่วง ดอกออกตามปลายกิ่ง ออกเป็นช่อกระจะ  โคนดอกหลอด มี 5กลีบเชื่อมกัน ดอกสีม่วงอยู่บนฐานรองดอกสีเขียว เมื่อดอกแก่ดอกก็จะร่วงไปเหลือแต่ฐานรองดอกที่ติดผลมีเมล็ดอยู่ภายในเป็นสีน้ำตาล ผลของพวงครามเป็นผลสด
พวงครามชอบแสงแดดตลอดวัน ไม่ชอบเปียกแฉะ
การขยายพันธุ์ด้วย การปักชำ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง
ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ประดับ









วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ปทุมมาบานรับหน้าฝน ( กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม )




เข้าสู่ช่วงฤดูฝนกันแล้ว จึงมาชวนเพื่อน ๆเที่ยวชมดอกกระเจียวที่กำลังบานกันในฤดูฝนนี้ ดอกปทุมมาและกระเจียว ( Siam Tulip , Summer Tulip ) ซึ่งจะปลูกให้ชมกันในช่วงนี้ทั้งที่ตามสวนสาธารณะและตามทุ่งธรรมชาติ
ปทุมมาและกระเจียว ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma alismatifolia เป็นพืชในวงศ์ขิง Zingiberaceae  สกุลขมิ้น
ปทุมมาและกระเจียวเป็นไม้หัวล้มลุกมีอายุหลายปี มีลำต้นใต้ดินแบบเหง้าส่วนลำต้นบนดินที่เราเห็นนั้นเป็นลำต้นเทียม ใบเป็นใบเดี่ยวเป็นแบบรูปใบหอก ดอกจะออกจากปลายลำต้นเทียม ดอกออกเป็นช่อแบบช่อแน่นจะวนซ้อนกันเป็นทรงกระบอก ดอกมีสีขาว ชมพู แดงขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์
การขยายพันธุ์ทำได้หลายวิธี เช่นการเพาะด้วยเมล็ด การแยกเหง้า ผ่าเหง้า หรือการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื้อ ดินที่ใช้ปลูกเป็นดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี การให้น้ำสม่ำเสมอตามสภาพอากาศโดยไม่เปียกแฉะจนเกินไป แสงแดดประมาณ 70% ไม่ร้อนหรือว่าร่มเกินไปแบบนั้น ปทุมมาและกระเจียวเมื่อปลูกมาได้ระยะหนึ่งคือประมาณเดือนตุลาคม ก็จะมีการพักหัวลำต้นเทียมก็จะเริ่มเหี้ยวแห้งจนเหลือแต่หัวในกระถางจะมีการพักตัวอยู่ประมาณ 4เดือนในระหว่างการพักตัวเราไม่ต้องรดน้ำก็ได้ปล่อยให้เขานอนหลับ ^^ ตามธรรมชาติมาเจอกันอีกที่ก็หน้าฝน
ประโยชน์ของปทุมมาและกระเจียวปลูกเป็นไม้ประดับบ้านและปลูกเพื่อจำหน่าย และใช้รับประทานได้







วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

โรคอุจจาระร่วงป้องกันได้ด้วยตัวเอง







โรคอุจจาระร่วง หมายถึง การถ่ายอุจจาระเหลว จำนวน 3 ครั้ง ต่อวัน หรือมากกว่า หรือถ่ายมีมูก หรือมูกปนเลือดอย่างน้อย 1 ครั้ง หรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้งขึ้นไปภายใน 1 วัน ( เด็กแรกเกิดที่กินนมแม่อาจถ่ายอุจจาระนิ่มเหลวไม่มีมูกปนเลือดหรือกลิ่นโดยไม่มีอาการอ่อนเพลีย อาเจียน หรือเป็นไข้ ถือว่าปกติ )

สาเหตุ
    อุจจาระร่วงที่เกิดจากการติดเชื้อมีสาเหตุจากการรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่สะอาด การไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนการเตรียมหรือปรุงอาหาร และภาชนะสกปรกหรือมีเชื้อโรคปะปน

อันตรายจากโรคอุจจาระร่วง
    อุจจาระร่วงทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ไปพร้อมกับอุจจาระจำนวนมาก จนอาจทำให้ช็อคหมดสติและถึงแก่ความตายได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก

วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดอาการอุจจาระร่วงที่บ้าน
1. กินหรือดื่มของเหลวมากกว่าปกติเพื่อป้องการการขาดน้ำและเกลือแร่ โอ อาร์ เอส น้ำแกงจืด หรือน้ำข้าวใส่เกลือ
2. รับประทานอาหารเพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร ดังนี้
* เด็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่ให้ลูกดูดนมแม่มากขึ้น
* เด็กที่กินนมผสม ให้ผสมนมตามปกติแล้วให้กินครึ่งหนึ่งสลับกับสารละลายน้ำตาลเกลือแร่โอ อาร์ เอส อีกครึ่งหนึ่ง ปริมาณเท่ากับนมที่เคยกินตามปกติ
* เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป ให้อาหารเหลวที่ย่อยง่าย เช่น โจ็ก ข้าวต้ม ปลาต้ม เนื้อสัตว์ต้มเปื่อย เป็นต้น
* ผู้ใหญ่ รับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย
3. พาผู่ป่วยมาพบแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้น ดังนี้
* ยังคงถ่ายเป็นน้ำจำนวนมาก
* อาเจียนบ่อย
* กินอาหาร หรือดื่มน้ำไม่ได้
* มีไข้
* กระหายน้ำมากกว่าปกติ
* อ่อนเพลียมาก ตาลึกโหล
* ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด


วิธีการป้องกันโรคอุจจาระร่วงด้วยตัวเอง
* ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้ง ก่อนปรุงหรือรับประทานอาหารและภายหลังถ่ายอุจจาระ
* ดื่มน้ำสะอาด ถ้าเป็นน้ำต้มสุกจะดีที่สุด และเลือกซื้อน้ำแข็งที่ถูกหลักอนามัย
* เลือกรับประทานอาหารที่สะอาด สุกใหม่ ๆ ไม่ควรรับประทานอาหารที่สุก ๆ ดิบ ๆ หรืออาหารที่มีแมลงวันตอม หากจะเก็บอาหารที่เหลือจากการรับประทาน หรืออาหารสำเร็จรูปที่ซื้อไว้ ควรเก็บไว้ในตู้เย็น และอุ่นให้เดือดทั่วถึงทุกครั้งก่อนรับประทาน
* ผักหรือผลไม้ ก่อนรับประทานให้ล้างด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง
* ส่งเสริมให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อให้เด็กมีภูมิต้านทานโรค
* ขวดนมล้างให้สะอาด แล้วต้มในน้ำเดือด 10 - 15 นาที
* กำจัดขยะมูลฝอย เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงวัน เช่นอุจจาระเด็ก กำจัดหรือทิ้งในโถส้วมหรือกลบให้มิดชิด
* ถ่ายอุจจาระ ในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ

ดื่มน้ำตาลเกลือแร่ โอ อาร์ เอส ช่วยป้องกันและรักษาอาการขาดน้ำได้
* วิธีผสมสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ โอ อาร์ เอส 1 ซอง ในน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 1 แก้ว ( 240 ซีซี )
*ถ้าไม่มีอาจเตรียมได้เอง โดยใช้เกลือแกงครึ่งช้อนชา และน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 1 ขวด ขวดแก้วของเหล้าหรือขวดน้ำปลา ( 750 ซีซี ) หากผสมมาแล้วกินไม่หมดภายใน 1 วัน ( 24 ชั่วโมง ) ให้เททิ้ง และผสมใหม่


วิธีดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ โอ อาร์ เอส ในแต่ละครั้งที่ถ่ายอุจจาระ
* เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ให้ดื่มครั้งละ 1/4 - 1/2 แก้ว ควรใช้ช้อนตักป้อนบ่อย ๆ 1 ช้อนชา ทุก 1 - 2 นาที เพื่อให้ย่อยและดูดซึมได้ทัน
* เด็กอายุมากกว่า 2 ปี - 10 ปี ให้ดื่มครั้งละ 1/2 - 1 แก้ว โดยให้จิบจากแก้วน้ำบ่อย ๆ ไม่ควรให้เด็กดูดจากขวดนม เพราะเด็กกระหายน้ำจะดูดอย่างรวดเร็วจนได้รับสารน้ำปริมาณมากในครั้งเดียวจะทำให้เกิดอาการอาเจียน หรือดูดซึมไม่ทัน ทำให้ถ่ายมากขึ้น
* ถ้าอาเจียนให้หยุดพักก่อนสัก 10 นาที แล้ว ค่อยป้อนใหม่ช้า ๆ
* อายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ให้ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ขึ้นไป โดยดื่มทีละน้อย ๆ  แต่บ่อย ๆ

จำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้ยา
  อุจจาระร่วงส่วนใหญ่จะหายได้เอง ถ้าให้การป้องกันและรักษาภาวะการขาดน้ำ และให้อาหารที่เหมาะสมการกินยาหยุดถ่ายหรือยาแก้ท้องเสีย ทำให้ลำไส้ต้องเก็บกักเชื้อโรคไว้นานขึ้น นอกจากนั้น  การใช้ยาหยุดถ่ายเกินขนาดในเด็กเล็ก อาจเกิดภาวะพิษได้ซึ่งเป็นอันตรายมากการกินยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น อาจกระตุ้นให้เกิดการแพ้ยาหรือดื้อยาได้ การใช้ยาควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาใด ๆ


ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก แผ่นพับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ


วันอังคารที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560

ปีบ ( Cork Tree , Indian Cork )




ต้นปีบ ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Millingtonia hortensis   Linn.f. อยู่ในวงศ์  BIGNONIACEAE เป็นไม้ต้นผลัดใบมีในสูง 15-20 เมตร มีเปลือกสีเทา และแตกเป็นร่อง ๆ
ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบรูปหอกขอบใบมีหยักห่าง ๆ ปลายใบแหลม
ดอกสีขาวออกเป็นช่ออยู่ตามปลายกิ่งเป็นรูปแตร 5กลีบดอกมีกลิ่นหอม
ออกผลเป็นแบบฝักแบบ เมื่อฝักแก่จะแตกออกและมีเมล็ดที่มีปีกบินได้







ประโยชน์ ใช้ทำเครื่องเรือน เครื่องประดับบ้าน และปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นสมุนไพร เช่น ราก เป็นยาบำรุงปอด รักษาวัณโรค
หมายเหตุ เป็นพันธ์ุไม้มงคลพระราชทาน และพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดพิษณุโลก





ข้อมูลอ้างอิงจาก คู่มือการปลูกและบำรุงรักษาต้นไม้และแนะนำพันธุ์ไม้และสมุนไพรในงานมหกรรมเกษตร 2000 ( AGRO EXPO 2000 ) ของ ส่วนเพาะชำกล้าไม้ สำนักส่งเสริมการปลูกป่า กรมป่าไม้


วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560

โรคแผลในช่องปาก


โรคแผลในช่องปากมีสาเหตุหลายประการด้วยกัน แต่ที่พบบ่อย ๆ ได้แก่ แผลร้อนใน ( Aphthous stomatitis ) เป็นแผลที่เกิดขึ้นในบริเวณเยื่อเมือกในช่องปาก บริเวณริมฝีปากด้านในหรือบริเวณกระพุ้งแก้ม พื้นของปากและเพดานอ่อน มักเกิดเป็นแผลแผลเดียว หรืออาจเกิดเป็นแผลในหลาย ๆ ตำแหน่งรวมกันได้ โดยเริ่มจากปื้นเล็ก ๆ ก่อนแล้วค่อย ๆ ขยายขึ้นจนเป็นแผลจะมีอาการเจ็บปวดลักษณะของแผลมักจะเป็นรูปวงกลม หรือรูปไข่ ขอบแผลมีสีแดงบวมและอักเสบนูนสูงขึ้น ตรงกลางจะมีเยื่อสีเทา ๆ ปกคลุมอยู่ แผลจะเจ็บมากในระยะ 2 ถึง 3 วันแรก และจะเป็นอยู่นาน 7 ถึง 15 วัน แล้วจะหายไปเอง

ส่วนสาเหตุของแผลในช่องปากชนิดนี้ เชื่อกันว่าเกิดจากความเครียด หรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน หรือการขาดสารอาหาร คนโบราณมักเข้าใจว่าแผลในช่องปากนี้เกิดจากอาการที่เรียกว่าร้อนในที่เกิดขึ้นหลังจากเมื่อรับประทานอาหารที่มัน ๆ เช่น กล้วยแขกทอด ของทอดทุกชนิด ข้าวเหนียวมูล หรือเกิดจากการทานผลไม้บางชนิดเป็นจำนวนมาก ๆ เช่น ทุเรียน มะม่วง ลำใย เป็นต้น ซึ่งความเป็นจริงถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับประทานอาหารดังกล่าวนี้ ก็ยังเกิดเป็นแผลในช่องปากก็ได้

การรักษา ก็ต้องพยายามรักษาสุขภาพในช่องปากให้ดี การแปรงฟันก็ควรแปรงด้วยความระมัดระวัง อย่าให้แปรงไปกระแทกกับเหงือก หรือเยื่อบุภายในช่องปากแรงเกินไป เพราะอาจเกิดรอยซ้ำแล้วกลายเป็นแผลในช่องปากได้เช่นกัน สำหรับยาที่ใช้ก็เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดเป็นยาขี้ผึ้งใช้ทาเพื่อลดการอักเสบ โดยยาขี้ผึ้งนี้จะคลุมปิดบนแผลไว้ ทำให้อาการเจ็บปวดลงและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ถ้ามีแผลหลาย ๆ แผลก็ใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อรักษาสุขภาพในช่องปากและควรรักษาสุขภาพร่างกายทั่วไปให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอหลีกเลี่ยงความเครียด และควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยลดการเกิดแผลในช่องปากลงได้

โรคแผลในช่องปากมีสาเหตุหลายประการด้วยกัน นอกจากแผลร้อนในแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นอีกได้แก่
แผลที่เกิดจากเชื้อไวรัส ( Herpetic Stoatitis ) อาการของแผลในช่องชนิดนี้จะรู้สึกคันหรือเจ็บบริเวณที่จะเป็น ต่อมาจะเกิดตุ่มน้ำใส ๆ ขึ้นมากมาย ตุ่มน้ำใสนี้จะขยายใหญ่ขึ้นรวมกลุ่มกันและแตกกลายเป็นแผลตื้น ๆ อาการเหล่านี้จะหายเองได้ภายใน 10 ถึง 14 วัน สำหรับผู้ที่เคยเป็นแผลในปากจากเชื้อไวรัสชนิดนี้แล้ว เชื้อไวรัสจะยังคงอยู่ในร่างกาย โดยเชื้อจะแอบอยู่ในระบบประสาท เมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอลงจะปรากฏอาการเกิดแผลใหม่อีกเรื่อย ๆ ไป แต่อาการเจ็บปวดจะมีเพียงเล็กน้อย ซึ่งบางท่านอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแผลจากฟันกำลังขึ้นก็ได้ การติดต่อของโรคแผลในช่องปากจากเชื้อไวรัสนี้ ติดต่อโดยการสัมผัส

สาเหตุที่สามของการเกิดแผลในช่องปาก คือแผลที่เกิดจากเชื้อซิฟิลิส แผลในปากชนิดนี้ จะไม่ค่อยเจ็บ และจะหายเองได้ในระยะ 2 ถึง 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะพบอาการอื่นร่วมด้วย เช่นเป็นไข้ต่ำ ๆ ปวดเมื่อย ต่อมน้ำเหลืองโต การที่แผลซิฟิลิสหายเองได้ โดยไม่ได้รับการรักษา อย่าเข้าใจว่าโรคนี้หาย เพราะถ้าเจาะเลือดตรวจดูจะพบว่ามีเชื้อซิฟิลิสอยู่ในกระแสเลือดด้วย

สาเหตุที่สี่ แผลในช่องปากเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อโกโนเรีย หรือเชื้อหนองใน มักพบในผู้ที่มีการร่วมเพศแบบวิตถาร คือชอบใช้ปาก ลักษณะตรงขอบแผลจะมีแผ่นคราบสีเหลือง ๆ ติดอยู่ซึ่งสามารถแกะออกได้ได้ง่าย แต่จะมีเลือดซึมออกมาด้วย การวินิจฉัยแผลชนิดนี้ต้องใช้วิธีการเพาะเชื้อพิเศษในรายที่สงสัยเท่านั้น

สาเหตุที่ห้า แผลในช่องปากที่เกิดจากเชื้อราแคนดิด้า ( Candidiasis ) มักพบในเด็กแรกเกิดและคนสูงอายุ หรือในคนที่ทานยาปฏิชีวนะนาน ๆ ร่างกายอ่อนแอ หรือได้รับยาในการรักษาโรคมะเร็งหรือได้รับการฉายรังสีรักษามานาน

สาเหตุที่หก แผลของโรคมะเร็ง แผลในช่องปากชนิดนี้จะเป็นอยู่นานโดยไม่หายในทางตรงกันข้ามแผลของโรคมะเร็งจะลุกลามมากขึ้นเรื่อย ๆ

สาเหตุสุดท้ายของแผลในช่องปากคือ แผลอื่น ๆ ที่ได้รับอันตรายจากการกัด หรือฟันที่คมเสียดสีบริเวณนั้นบ่อย ๆ ก็ทำให้เกิดแผลได้หรือจากการใส่ฟันปลอมที่ไม่ดี ก็เกิดแผลที่บริเวณที่กดทับหรือแผลที่เกิดจากการกระแทก เช่น การแปรงฟันที่ไม่ถูกวิธี หรือการแปรงฟันแรงเกินไป

สาเหตุของการเกิดโรคแผลในช่องปากนั้นมีหลายสาเหตุด้วยกันดังที่กล่าวแล้ว ท่านจึงควรสังเกตและหาสาเหตุการเกิดแผลในช่องปากแล้วพยายามหลีเลี่ยงสาเหตุนั้น ๆ ก็จะช่วยให้ท่านไม่ต้องเป็นโรคแผลในช่องปากได้ แต่บางสาเหตุที่ไม่สามารถป้องกันได้ก็ควรจะไปปรึกษาแพทย์ บางท่านก็อาจจะถามว่าแล้วเมื่อไรจึงควรไปพบแพทย์ ท่านควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการดังนี้

1. เมื่อแผลในช่องปากเจ็บมากจนพูดหรือรับประทานอาหารไม่ได้
2. เมื่อมีแผลในช่องปากเรื้อรังไม่ยอมหายเป็นเวลานาน โดยเฉพาะแผลในช่องปากชนิดไม่เจ็บปวด หรือเป็นแผลชนิดลุกลามขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
3. เมื่อมีแผลในปาก พร้อมกับมีผื่นขึ้นตามตัวหรือมีอาการอื่นร่วมด้วย คือ มีไข้ ปวดข้อ ตาแดง ปัสสาวะขัด


ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆจากหนังรายการกระจายเสียงของวิทยุศึกษา เดือนกรกฏาคม 2536 หน้า41-44









มุกไม่ฮา...พาเพื่อนเครียดป่าวน้า...

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ลั่นทม, ลีลาวดี ( Plumeria )


บล็อกนี้พาเพื่อน ๆ ชมความสวยงามของดอกลีลาวดีหรือดอกลั่นทมกันค่ะ

ต้นลีลาวดีหรือลั่นทมมีถิ่นกำเนิดจากอเมริกาใต้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Plumeria spp. วงศ์ไม้ตีนเป็ด APOCYNACEAE เป็นไม้ต้นผลัดใบมีความสูง 6-8 เมตร ตามลำต้นและเมื่อโดนหักหรือเด็ดจะมียางขาวไหลออก ยางนี้เป็นพิษอย่าไปโดนนะ ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหอกปลายใบมน ออกแบบเรียงสลับอยู่ตามปลายกิ่งของต้น ลั่นทมหรือลีลาวดีมีดอกอยู่หลายสีเช่น ขาว เหลือง แดง ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ดอกเป็นรูปแตรมี 5 กลีบ ออกผลเป็นแบบฝักยาว เมื่อแก่ฝักจะแตกออกปล่อยให้เมล็ดภายในลอยไปตามลม
การขยายพันธุ์ โดย การเพาะเมล็ด การตอน และการปักชำกิ่ง ปลูกกับดินร่วน ทั้งลงแปลงและในกระถางชอบแสงแดด
ประโยชน์ของลั่นทมหรือลีลาวดี ปลูกเป็นต้นไม้ประดับ หรือเป็นสมุนไพรได้ เช่น ยางจากลำต้นใช้เป็นยาถ่าย เป็นต้น





ข้อมูลจากหนังสือ คู่มือ การปลูกและบำรุงรักษาต้นไม้และแนะนำพันธ์ไม้และสมุนไพรในงานมหกรรมเกษตร 2000 ของส่วนเพาะชำกล้าไม้ สำนักส่งเสริมการปลูกป่า กรมป่าไม้


วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560

ความสุข 3 เวลา


สวัสดีปีใหม่กับเพื่อน ๆ ทุกนะค่ะ ขอให้มีแต่ความสุขกันทุก ๆคน บล็อกนี้ขอนำบทความดี ๆ จากวิทยุศึกษามาให้ได้อ่านกันค่ะ บทความเรื่อง ความสุข 3 เวลา ของ อิทิรา ปัทมินทร นักจิตวิทยา กองสุขภาพจิต กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ดังต่อไปนี้ค่ะ

ความสุข 3 เวลา
หนึ่งในปัจจัย 4 ที่คนเราจะขาดเสียมิได้ก็คงจะเป็นอาหารนั่นเอง การที่เราต้องดิ้นรนทำงานหาเงินอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องทั้งของตัวเองและของสมาชิกครอบครัว ที่อยู่ในความรับผิดชอบของเราเหลือจากนั้นจึงเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องอื่น ๆ เช่น เรื่องบ้าน เรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เรื่องยารักษาโรค และเรื่องบำรุงความสุขอื่น ๆ

ท่านผู้อ่านคงเคยสังเกตเห็นว่าตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ บริเวณที่จะมีผู้คนหนาตาที่สุดก็คือซุปเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายอาหารทั้งแห้งและสดหรือไม่ก็บริเวณที่เรียกว่าฟู้ดเซ็นเตอร์ที่จำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จนานาชนิด

ร้านอาหารก็มีอยู่ทุกมุมถนนแต่ละร้านมักจะขายดิบขายดีจนต้องเปิดเป็นสาขาที่ 2 ที่ 3 บางทีถึงขนาดต้องไปเปิดถึงต่างประเทศก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย

เหล่านี้คงเป็นเรื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า อาหารการกินเป็นเรื่องสำคัญมากในชีวิตประจำวันของเรา

อาหารนอกจากจะเป็นแหล่งพลังงาน ช่วยสร้างความเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายแล้ว อาหารยังเป็นแหล่งที่ช่วยสร้างความสุขให้กับคนเราด้วย

งานเลี้ยง งานฉลองความสุขความสำเร็จต่าง ๆ จะต้องมีอาหารเป็นส่วนประกอบที่จะขาดเสียมิได้

ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ง่าย ๆ  ว่า อาหาร การกิน และความสุขน่าจะไปกันได้ด้วยดี ถ้าเรามีอาหารกินครบวันละ 3 มื้อ เราก็น่าจะมีความสุขอย่างน้อยวันละ 3 เวลา

แต่ในความเป็นจริงแล้วมักจะไม่เป็นไปตามนั้น เพราะการดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความเร่งรีบในปัจจุบัน ทำให้เราละเลยความสำคัญของความสุขที่น่าจะได้รับประทานอาหารไปอย่างน่าเสียดาย ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือเกิดโรคภัยต่าง ๆ เช่น โรคกระเพาะอาหารจากความเคร่งเครียด รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ปวดท้อง ท้องเสียจากอาหารผิดสำแดง บางคนก็เบื่ออาหาร ซูบผอม ในขณะที่บางคนก็รับประทานมากเกินไปจนเป็นโรคอ้วนก็มีมาก

เราจึงน่าจะหันมาให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารให้มากขึ้นอีกสักหน่อยเพื่อความสุขในแต่ละวัน โดยลองพิจารณาตามแนวทางง่าย ๆ

1. ไม่ควรรับประทานอาหาร คนเดียว ถ้าอยู่ที่ทำงานก็ควรรับประทานร่วมกันกับเพื่อนร่วมงาน ถ้าเป็นที่บ้านก็ควรรับประทานร่วมกับสมาชิกในครอบครัว การมีเพื่อนร่วมรับประทานอาหารที่ถูกใจกัน จะช่วยให้การรับประทานอาหารเป็นที่เพลิดเพลินมากขึ้น


2. ไม่ควรรีบเร่งขณะรับประทาน การรีบเคี้ยว รีบกลืนนอกจากจะเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดแล้ว ยังทำให้กระเพาะต้องทำงานหนัก ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ เวลารับประทานอาหารจึงควรละวางเรื่องงานเอาไว้ก่อน ให้เวลากับอาหารมื้อต่าง ๆ ให้มากขึ้น มากพอที่จะรับรู้รสชาติความเอร็ดอร่อยของอาหารเสียบ้าง เพราะคนเรามีลิ้นเอาไว้รับรส จึงควรเปิดโอกาสให้ลิ้นของเราได้ทำหน้าที่ของมันบ้าง

3. เลือกรับประทานอาหารที่สะอาดและมีประโยชน์ต่อร่างกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรงถ้ารับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาจก่อให้เกิดทุกข์ตามมาภายหลังเช่น เป็นโรคพยาธิ ท้องเสีย เป็นบิด ฯลฯ หรือดื่มสุราเมาเป็นประจำ จะทำให้เป็นโรคกระเพาะและตับแข็ง ไม่มีความสุขแน่ ๆ

4. รับประทานอาหารให้เป็นเวลา โดยปกติคนเราจะรับประทานอาหารมื้อหลัก 3 มื้อ คือเช้า กลางวัน และเย็น กระเพาะอาหารจะเกิดความเคยชินตามเวลานั้น ๆ หากรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา จะทำให้ปวดท้อง ไม่มีความสุข หรือการรับประทานจุบจิบ รับประทานมากมื้อเกินไป ก็อาจทำให้ท้องอืดเฟ้อ โดยเฉพาะก่อนนอน ถ้ารับประทานอิ่มเกินไป อาจทำให้อึดอัด นอนไม่หลับ และอาจเกิดฝันร้ายได้ด้วย

5. จัดบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมในห้องรับประทานอาหารให่น่าดู น่าสบายตาสบายใจ เช่นอาจจะมีแจกันดอกไม้ มีเสียงเพลงเบา ๆ คงไม่มีใครรับประทานอาหารได้อย่างมีความสุขท่ามกลางเสียงด่าทอกัน หรือสถานที่สกปรก เต็มไปด้วยแมลงวัน หรืออยู่ท่ามกลางกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นแนวทางที่จะทำให้ท่านผู้อ่านมีความสุขกับการรับประทานอาหารค่ำ ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้อาหารมีรสชาติ รับประทานได้อย่างเพลิดเพลินแล้ว ยังจะทำให้การย่อยอาหารเป็นไปด้วยดีระบบขับถ่ายก็จะพลอยดีไปด้วยสุขทั้งใจ สุขทั้งกาย

บทความ " ความสุข 3 เวลา " ของ อิทิรา ปัทมินทร นักจิตวิทยา กองสุขภาพจิต กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จากหนังสือ รายการ กระจายเสียง ของวิทยุศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ฉบับ เดือนกุมภาพันธ์ 2534หน้า 13 - 15