Place, People, Photo, something, somewhere, sometime, some picture เก็บภาพและเรื่องราวของวันวาน สถานที่ ผู้คน เรื่องราว เก็บไว้ในความทรงจำ และคิดถึงกันตลอดไป และอีกอย่างหนึ่งฝากสติ๊กเกอร์ไลน์ของบล็อกกันด้วยนะคะ ให้กำลังใจกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ *ภาพการ์ตูนและตัวการ์ตูนในบล็อกนี้ไม่อนุญาตให้นำไปใช้ในธุรกิจหรือเกี่ยวกับการพาณิชย์และกิจการโฆษณาใด ๆทั้งสิ้น นอกจากได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก P. Strawberry เท่านั้น
วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557
เมื่อเบื่องาน
คนเราเมื่อต้องทำอะไรซ้ำซากจำเจ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ย่อมจะเกิดความเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่ายิ่งถ้าสิ่งที่ทำนั้นเป็นเรื่องของงานเป็นเรื่องหนักใจ เป็นเรื่องไม่สนุกและยิ่งไปเจอกรณีที่ได้ค่าตอบแทนน้อยอีกต่างหาก ก็ยิ่งจะรู้สึกเบื่อไปกันใหญ่
แต่เมื่อเกิดเป็นคนโดยเฉพาะเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง ตลอดจนรับผิดชอบครอบครัว สังคม รวมถึงประเทศชาติด้วย จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่กับงานต้องทำงานด้วยกันทุกคน เพราะงานทำให้ชีวิตมีค่า อย่างที่เปรียบเปรยกันว่า " ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน " ใครทำงานมาก ก็เป็นคนมีค่ามาก คนที่ไม่ทำงานเลยทั้งที่ร่างกายและจิตใจปกติดีทุกอย่าง คงเรียกได้ว่า เป็นคนไร้ค่า
ถ้าอยากให้ชีวิตมีคุณค่าก็ควรจะรีบเร่งทำงานกัน แต่เมื่อทำงานนานเข้า เจอปัญหามาก ๆ เข้า เจอแต่เรื่องไม่สบอารมณ์บ่อย ๆ ก็มีสิทธิเกิดความรู้สึกเบื่องานกันได้ อยากจะเลิกทำงานอยากจะนอนเล่นอยู่กับบ้านขึ้นมาเฉย ๆก็ได้
แต่ตราบใดที่เรายังเลิกทำงานไม่ได้ เราควรหาทางลดความเบื่อหน่ายในงานลง วิธีง่าย ๆ ที่อยากเสนอแนะ มีดังนี้
1. ลองแข่งขันกับตัวเองวางเป็าหมายในแต่ละวันไว้ว่าวันนี้ควรจะทำทำงานให้เสร็จแค่ไหน แล้วก็ตั้งอกตั้งใจทำถ้าทำได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ถือว่าเราเป็นผู้ชนะ ถ้าทำได้พอดีกับเป้าหมาย ถือว่าเสมอตัวแต่ถ้าทำได้น้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ถือว่าแพ้
การทำงานควรมีการพัฒนาขึ้นด้วย เมื่อวานเคยทำงานได้เท่านี้ วันนี้ควรจะทำได้มากขึ้นกว่าเก่า เช่น เคยพิมพ์ดีดได้วันละ 10 หน้า ก็ต้องพยายามเพิ่มให้ได้เป็น 11 หน้า เคยทำงาน 1 ชิ้น เสร็จใน 30 นาที คราวต่อไปต้องพยายามลดให้เหลือเพียง 25 นาที โดยคุณภาพของงานคงที่แต่เสร็จเร็วขึ้น เหมือนกับนักกีฬาที่ต้องทำลายสถิตเดิมของตัวเองให้ได้
การแข่งขันทำงานกับตัวเองจะทำให้จิดตใจจดจ่ออยู่กับงานลืมเรื่องจุกจิกกวนใจ มีสมาธิขึ้นเมื่อสามารถชนะตัวเองได้ จะเกิดความภูมิใจ ลืมความเบื่อความเซ็งไปได้เหมือนกัน
2. ให้รางวัลกับตัวเอง ตามปกติเมื่อทำงานใหญ่เสร็จสักชิ้นก็มักจะมีการเลี้ยงฉลอง หรือเมื่อเพื่อนฝูงได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง ก็ชวนกันไปกินเลี้ยงหรือมอบของขวัญให้
แต่ในกรณีของเรา ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวาระสำคัญอย่างนั้นเพียงแต่ทำงานเสร็จก่อนเวลาหรือทำงานได้ดีเป็นที่พอใจ ก็ให้รางวัลกับตัวเองได้แล้ว รางวัลก็ไม่ต้องมากมายอะไร อาจจะเป็นขนมสักชิ้น กาแฟสักแก้วหรือน้ำส้มสักแก้ว เป็นต้น
3. หาเวลาพักผ่อนหย่อนอารมณ์บ้าง การทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำเกินไป จนร่างกายอ่อนล้า จิตใจก็พลอยเหนื่อยหน่ายไปด้วย เพราะฉะนั้นควรหาเวลาพักระหว่างการทำงานบ้าง บางคนนอนกลางวันสักครึ่งชั่งโมง ตื่นขึ้นมาร่างกายก็สดชื่นสามารถทำงานตอนบ่ายได้ดีขึ้นการทำงานที่ต้องใช้ความคิดมากอาจจะหยุดพักระหว่างเช้าและระหว่างบ่าย อย่างที่เรียกภาษาฝรั่งว่า " คอฟฟี่เบรค " จะทำให้สมองได้ผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียดจนเกินไป สมองปลอดโปร่ง และความคิดแล่นดีขึ้น
ในแต่ละปี ควรหาเวลาพักผ่อนอย่างชนิดติดต่อกันสัก 1 สัปดาห์บ้าง อาจไม่จำเป็นต้องไปท่องเที่ยวไกล ๆ ให้สิ้นเปลืองเงินทอง เพียงแค่ได้เปลี่ยนบรรยากาศ หยุดทำงานเสียชั่วคราวก็จะช่วยลดความจำเจ ช่วยลดภาระการงาน หรือช่วยให้พ้นปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการทำงานหายหนักอกหนักใจได้สักพัก ได้สะสมพลังทั้งกายและใจ เพื่อกลับไปสู้งานใหม่อีกครั้งหนึ่ง
คุณผู้อ่านที่กำลังเบื่องานก่อนที่จะตัดสินใจเลิกทำงานหรือคิดแต่จะเปลี่ยนงานอยู่เรื่อยถ้าคุณได้งานที่ดีกว่า เงินดีกว่า ถูกใจกว่า ก็คงจะถือเป็นโชคใหญ่แต่ถ้ายังหาไม่ได้ แทนที่จะทำงานแบบเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ ให้ชีวิตอับเฉาไปวัน ๆ ลองมาพยายามใช้วิธีการ 3 วิธี คือ ลองแข่งขันกับตัวเอง ให้รางวัลตัวเอง และหาเวลาพักผ่อนบ้าง อย่างที่เล่าข้างต้นคุณคงพอทุเลาอาการเบื่องานได้บ้างนะคะ
บทความของ อินทิรา ปัทมินทร จากหนังสือรายการกระจายเสียง วิทยุศึกษา ฉบับเดือน กันยายน 2533 หน้า 14- 16
นอกจากอาการเบื่องานแล้วอีกเรื่องหนึ่งในที่ทำงานที่ทำให้เราไม่สบายใจ ก็คือมลพิษทางจิตกับการทำงาน ซึ่งเป็นบทความของ นายแพทย์มนตรี นามมงคล จิตแพทย์ โรงพยาบาลสวนปรุง เชียงใหม่ ได้กล่าวไว้ดังต่อไปนี้
ทุกวันนี้คนเราต้องมีชีวิตอาศัยอยู่ในสังคมและสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงผันแปรอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ทำให้เกิดเป็นมลพิษขึ้นมา เราก็อาจจะแบ่งได้ง่าย ๆ คือมลพิษทางกายและมลพิษทางจิตคนเราคงจะยอมรับว่าบางทีเราก็ปรับตัวไม่ทันกับสภาวะแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนไป ทำให้เกิดความรู้สึก โกรธ เกลียด หงุดหงุิด ไม่สบายใจ เครียด และวิตกกังวล
มลพิษทางกายคงเป็นสิ่งที่เราทุกคนรู้และทราบกันดีว่ามีอะไรบ้าง ที่สำคัญคือเป็นสิ่งที่เรามองเห็นได้ยิน สัมผัส และรู้สึกได้ เช่น ความร้อน เย็น แสงสว่าง เสียงดนตรีหรือเสียงรบกวนอื่น ๆ สภาพอาคารบ้านเรือน ยานพาหนะ กฎระเบียบและการปกครอง เหล่านี้เป็นต้นในที่นี้เราจะมาพูดกันถึงมลพิษทางจิต
มลพิษทางจิตเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ไม่ได้ยินเสียง แต่เราสามารถรู้สึกได้การรู้สึกได้นั้นจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับสุขภาพจิตของเราด้วย เช่นสุขภาพเราเสีย เป็นโรคจิตเราอาจจะพอใจทำอะไรก็ได้ ซึ่งในคนปกติเขาไม่ทำ ตัวอย่างคือ นอนกลางถนน และมีแดดร้อนจัดเต็มไปด้วยฝุ่น ควัน ท่อไอเสีย มากมายอย่างนี้ย่อมเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายคือ เสี่ยงต่อการถูกรถชน มีไข้สูง เนื่องจากนอนกลางแดดและปอดเสียจากการสูดเอาฝุ่นและควันพิษเข้าไปในปอด ภาวะเช่นนี้ต้องถือว่ามีมลพิษทางจิตเกิดขึ้นด้วยอย่างแน่นอน และการที่เราจะรู้สึกว่ามลพิษทางจิตเกิดขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสุขภาพจิตของเราด้วย เป็นประการสำคัญ
ดังนั้น มลพิษทางจิตมาจากไหนในเมื่อเราจับต้องไม่ได้ มองไม่เห็นและไม่ได้ยิน เราจะทราบได้อย่างไรว่าจิตเราเริ่มมีมลพิษ
ประการแรกเราคงต้องมองดูตัวเราเองก่อนเราเป็นคนอย่างไรเดิมเคยเป็นคนร่าเริงก็เปลี่ยนเป็นคนเงียบขรึม เดิมเคยพูดมากก็พูดน้อยลง เดิมเป็นคนขยัน ทำงานขันแข็ง แต่ตอนนี้เกิดความเบื่อหน่ายงาน อยากจะลาออก เราก็คงจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น อะไรทำให้เราเป็นเช่นนั้น ถ้าตอบตัวเองไม่ได้ก็จงรู้ว่าสาเหตุทางจิตนั้นเกิดจากสิ่งแวดล้อมไม่ดี เช่น เพื่อนร่วมงานไม่ดี ผู้บังคับบัญชาไม่ยุติธรรม ลูกน้องไม่เคารพยำเกรงนโยบายเปลี่ยนแปลงไปมาหรือขัดแย้งกันในตัวของมันเอง ทำให้คนปฎิบัติงานลำบากใจ ไม่ชอบในงานที่ทำเป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะค่อย ๆ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเราทีละเล็กละน้อย ทำให้สุขภาพจิตที่ดีต้องสั่นคลอน เกิดอาการเครียดง่าย เบื่ออาหาร นอนไม่ค่อยหลับหรือหลับไม่เต็มที่ อาการเหล่านี้เป็นสิ่งบ่งชัดบอกว่าสุขภาพจิตของเราเริ่มถูกคุกคามจากมลพิษ ก่อให้เกิดมลพิษทางจิต สาเหตุก็คงจะต้องค่อย ๆ พิจารณาแก้ไขเป็นข้อ ๆ ไป หากยังไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ ก็ยังมีจิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสงคมสงเคราะห์ พยาบาลจิตเวช อีกมากมายที่พร้อมจะให้คำปรึกษาแนะนำ แนวทางการแก้ปัญหาต่าง ๆหรือร่วมกันหาสาเหตุของสุขภาพจิตเสีย เพื่อกำจัดหรือหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นให้พ้นไป แต่ถ้าต้องอยู่ในสภาพสิ่งแวดล้อมเหมือนเดิมต่อไป เราก็ควรจะมองหาจุดดีหรือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขมาทดแทน เพื่อกระตุ้นเตือนตัวเราให้มีกำลังใจ ทำงานให้ดีขึ้น และมีประสิทธิภาพต่อไป
บทความของ นายแพทย์มนตรี นามมงคล ในหนังสือรายการกระจายเสียงของวิทยุศึกษา เดือนพฤษภาคม 2534
วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557
โพธิ์ทะเล ( Portia Tree )
โพธิ์ทะเล ชื่อวิทยาศาสตร์ Thespesia populnea Soland. ex Correa วงศ์ไม้ชบา MALVACEAE
โพธิ์ทะเลเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูง 10 - 15 เมตร ลำต้นมีผิวขรุขระเป็นตุ่มเล็ก ๆ ทั้งลำต้น สีน้ำตาลอ่อน ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกัน เป็นรูปหัวใจ ใบหนา โคนใบเว้า ปลายใบแหลมใบกว้าง 12 เซนติเมตร ยาว 15 เซนติเมตร
ดอกของโพธิ์ทะเลดอกใหญ่มีสีเหลืองออกเป็นดอกเดี่ยว ๆ ตามง่ามใบ ผลกลมขนาด3 - 4 เซนติเมตร
ดอกออกเดือน พฤษาภาคม - มิถุนายน
ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด มักพบเห็นอยู่ตามชายน้ำที่รกร้างและป่าชายเลน
ประโยชน์ ของต้นโพธิ์ทะเล คือ ใช้ไม้ทำด้ามเครื่องมือ เครื่องดนตรี เครื่องเรือน กระดานพื้น พายแจว เปลือกใช้ตอกหมันเรือทำเชือก และสายเบ็ด
เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานและพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดสมุทรปราการ
อ้างอิง จากหนังสือคู่มือ การปลูกและบำรุงรักษาต้นไม้และแนะนำพันธุ์ไม้และสมุนไพรในงานมหกรรมเกษตร 2000
วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ปลูกผักสวนครัวกันเถอะ ( ตอน โหระพา Basil )
โหระพาชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimum basilicum Linn. วงศ์ LABIATAE โหระพาเป็นพืชล้มลุก มีกลิ่นฉุน ถิ่นกำเนิดในเอเชียและแอฟริกา
ลำต้นของโหระพาเป็นสี่เหลี่ยม กิ่งอ่อนสีม่วงอมแดง มีความสูง 0.5 - 1 เมตร
ใบโหระพาเป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน ใบเป็นรูปไข่หรือรูปรีกว้าง 3 - 4 เซนติเมตร ยาว 4- 6 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเป็นจักฟันเลื่อยห่างๆ
ดอกโหระพาออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งดอกมีสีขาวหรือสีชมพูอ่อน ดอกยาว 7 - 12 เซนติเมตร มีใบประดับสีเขียวอมม่วง มีผลขนาดเล็ก
การขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่งและการเพาะด้วยเมล็ด ดินที่ใช้ปลูกเป็นดินร่วนมีความชุ่มชื้นปานกลางและต้องการแสงแดดปานกลางการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
ประโยชน์ใช้เป็นผักเครื่องเคียงอาหาร เช่น ใส่แกงเผ็ด ,ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ, และใช้เป็นยาสมุนไพร เช่น ใช้ใบสด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้
วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ปลูกผักสวนครัวกันเถอะ ( ตอน เตรียมอุปกรณ์ )
ก่อนอื่นเราก็มาเริ่มด้วยการเตรียมอุปกรณ์และวัสดุที่จะใช้ในการปลูกกันก่อนว่าจะมีอะไรกันบ้าง ในการปลูกพืชผักสวนครัวในบ้านของเรากัน
1. กระถาง หรือ ถังเก่า กระป๋องที่ไม่ใช้แล้ว หรือถ้ามีที่ว่างใช้ปลูกได้ก็ดีเลยปลูกลงดินไปเลย
2. ดินสำหรับใช้ปลูก จะเป็นดินสำเร็จรูป หรือ ดินที่ผสมขึ้นเอง ตามที่เราจะสะดวก
สูตรดินที่ใช้ปลุกในที่นี้เป็นสูตรดินปลุกต้นไม้ดอก
ส่วนผสม ดังนี้
1. ดินร่วน 1 ส่วน
2. ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
3. ทราย 1 ส่วน
4. เปลือกถั่ว 1 ส่วน
ส่วนผสม 1 ลูกบาศก์ฟุต
เติมปุ๋ย สูตร 5 - 10 - 5 1 กิโลกรัม
และปูนขาว 1/2 กิโลกรัม
ใช้สำหรับปลูกต้นไม้ทั่วไป
และอีกสูตรสำหรับต้นไม้ที่ต้องการความชื้นสูง
ส่วนผสมคือ
1. ขุยมะพร้าว 1 ส่วน
2.ทราย 1 ส่วน
3.ใบไม้ผุ 1 ส่วน
4.ปุ๋ยคอกเก่า 1 ส่วน
ส่วนผสม 1 ลูกบาศก์ฟุต
เติมปุ๋ยสุตร 5 - 10 - 5 1กิโลกรัม
และปูนขาว 1/2 กิโลกรัม
ดูส่วนผสมถ้ามันยุ่งยากเราก็ใช้ดินสำเร็จรูปเลยคะ
3. ภาชนะสำหรับรดน้ำ เช่น บัวรดน้ำ หรือสายยางที่มีหัวปรับฝอยได้
4. อุปกรณ์เตรียมดิน เช่น ช้อนตัก เสียม จอม มีด ฯลฯ
5.กล้าพันธุ์และเมล็ดพันธุ์ต่างๆที่เราจะปลูก หาซื้อตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์ทางการเกษตร ห้างที่มีแผนกเกษตร หรือ ที่สวนจุตจักรในวันพุธ - พฤหัส ซึ่งจะเป็นตลาดนัดต้นไม้
6. ปุ๋ย ที่เราจะใช้ใส่บำรุงต้น ใช้ตามชนิดของต้นไม้ที่เราจะปลูก
อารมณ์เศร้าของวัยรุ่น ( อารมณ์เศร้าของเหล่าฮอร์โมน )
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะใดคงต้องเจอวัยรุ่นเข้าบ้างเป็นแน่คุณอาจจะเป็นพ่อแม่ที่มีลูกกำลังเข้าวัยรุ่น เป็นผู้ที่มีน้องกำลังเป็นวัยรุ่น เป็นครูที่มีลูกศิษย์กำลังเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวหรือตัวคุณเองก็กำลังอยู่ในระยะวัยรุ่นเหมือนกัน
เราคงพอทราบกันบ้างแล้วว่า วัยนี้เป็นวัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่กำลังโตเป็นหนุ่มเป็นสาว อารมณ์ที่เปลี่ยนจากเด็กซุกซน ไม่สนใจอะไร กลายเป็นคนที่มีอารมณ์ ช่างคิด ช่างฝัน แสนงอน ขี้น้อยใจหรือใจร้อน โผงผาง นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมเปลี่ยนจากเด็กที่ชอบอยู่กับบ้านมีเรื่องอะไรก็คอยปรึกษาพ่อแม่กลายมาเป็นคนที่ชอบออกนอกบ้าน คลุกคลีกับหมู่เพื่อน ชอบเตร็ดเตร่ตามสถานที่ชุมนุมของเด็กวัยรุ่น เมื่อมีปัญหาก็ชอบจะปรึกษาเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ มีความลับที่ไม่อยากเปิดเผยให้พ่อแม่ทราบ หรืออาจเริ่มมีจดหมายของฝากจากเพื่อนต่างเพศ ซึ่งเขาจะถือเป็นเรื่องส่วนตัวมาก ขนาดที่ใครไปแตะต้องไม่ได้ทีเดียว
ฟังดูแทบไม่เชื่อ แต่ทุกคนก็ต้องผ่านระยะวัยรุ่นก่อนวัยผู้ใหญ่กันทั้งนั้น
ก่อนที่มนุษย์จะเจริญวัยและพัฒนาเต็มที่จากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่ต้องผ่านระยะสำคัญนี้ไปให้ได้เสียก่อน คุณผู้อ่านคงพอจะนึกออกถึงความแต่งต่างระหว่างเด็กกับใหญ่ได้ว่ามีความแตกต่างอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย อารมณ์ ความคิด ความอ่าน การสังคมติดต่อกับผู้อื่น ระยะวัยรุ่นเป็นระยะที่เด็กเรียนรู้และพัฒนาความสามารถในการควบคุมตนเอง และการพึ่งพาตนเองเพื่อเป็นผู้ใหญ่ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของง่ายเลย ช่างยุ่งยากซับซ้อน บางครั้งก็สับสน วัยนี้จึงมักเต็มไปด้วยคำถามซึ่งต้องการคำตอบที่เขาเข้าใจได้จึงจะถูกใจเขา
ขณะย่างก้าวความยุ่งยากนี้อารมณ์เศร้าในวัยรุ่นมักเกิดขึ้นได้ง่าย นักจิตวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่า ความกลัดกลุ้มใจ ไม่สบายใจในวัยนี้เป็นสิ่งปกติในการพัฒนาไปเป็นผู้ใหญ่ของวัยรุ่นแต่การเอาชนะความผิดหวังต่าง ๆ ต้องอาศัยกำลังใจที่เข้มแข็งจึงจะผ่านพ้นไปได้ วัยรุ่นที่กำลังใจไม่เข้มแข็งและขาดผู้ใหญ่ที่เข้าใจคอยช่วยเหลือ สนับสนุนก็มีโอกาสล้มเหลวง่าย ความผิดหวังในวัยนี้มีผลกระทบต่อความรู้สึกของเขาได้ง่ายมาก เพราะเป็นระยะกำลังเริ่มต้นและยังขาดประสบการณ์วัยรุ่นจะรับรู้ต่อความล้มเหลวในเชิงหมดหวังได้ง่าย และตัดสินใจแก็ปัญหาอย่างหุนหันพลันแล่นได้ง่ายเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรง และรู้สึกว่าไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเขาได้อีกแล้ว
อารมณ์เศร้าในวัยรุ่นแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ กันได้ดังนี้
- มีอารมณ์หงุหงิดง่ายเจ้าอารมณ์
- ตำหนนิติเตียนตนเองอยู่เสมอ มองตนเองว่าไม่ดี ไม่เอาไหน ไม่มีความหมาย
- แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงต่าง ๆ
- ไม่อยากไปโรงเรียน ผลการเรียนตกต่ำลง เข้ากับเพื่อนครูที่โรงเรียนไม่ได้ หนีโรงเรียน หนีออกจากบ้าน
-นอนไม่หลับ ฝันร้ายบ่อย ๆ หลับยาก หลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่เสมอ
- แยกตัวไม่สุงสิงกับคนอื่น
- มีอาการไม่สบายทางกายเช่น ปวดหัวบ่อย ๆ ปวดท้องอยู่
ดั้งนั้น หากท่านผู้อ่าน ได้พบลักษณะดังกล่าวมาแล้วในวัยรุ่นใกล้ตัวท่าน ลองหาดูว่าเขากำลังมีอารมณ์เศร้าอยู่หรือไม่และมีอะไรเป็นสาเหตุ การเข้าใจอารมณ์ของเขา ยอมรับเขา และปลอบโยนให้กำลังใจ ช่วยชี้แนะทางที่เหมาะสม จะช่วยให้เขาไม่รู้สึกหมดหวัง และลุกขึ้นจัดการสิ่งที่ล้มเหลวใหม่ได้ แม้ว่าสาเหตุแห่งอารมณ์เศร้านั้นจะแก้ไขไม่ได้เต็มที่นักก็ตาม
ในระยะที่กำลังสอบเข้าเรียนต่อ โดยเฉพาะการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็เป็นช่วงที่เขาจะรู้สึกท้อแท้ หมดหวัง หรือ ล้มเหลว ได้ง่าย หากผลการสอบไม่ผ่านผู้ใหญ่หรือบุคคลใกล้ชิดจึงเป็นบุคคลสำคัญที่จะช่วยเหลือให้เขาเอาชนะช่วงเวลาสำคัญนี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง และกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าเผชิญกับสิ่งใหม่พร้อมกับประสบการณ์แห่งความผิดหวังที่ไม่น่ากลัวสำหรับเขาเลย
บทความของ แพทย์หญิงสุรางค์ เลิศคชาธาร จากหนังสือรายการกระจายเสียงของวิทยุศึกษา ฉบับเดือน มิถุนายน 2533 หน้าที่ 18-20
วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2557
กุหลาบ ( Rose )
กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่สวยงามและเป็นที่รู้กัน และปลูกกันมานานแล้วในประเทศไทยในตอนแรกๆเป็นเพียงการปลูกเพื่อความสวยงามและใช้ในการประดับบ้าน มีการปลูกตัดดอกมาขายกันเพียงไม่กี่รายเท่านั้น ด้วยความสวยงาม และกลิ่นหอมทำให้มีผู้นิยมมากขึ้น จนถึงในปัจจุบันมีการปลูกเพื่อตัดดอกขายอย่างมากมายและมีหน่วยงานและผู้สนใจกุหลาบมากขึ้น ทำให้มีการศึกษาค้นคว้าปรับปรุงพันธุ์กุหลาบให้เหมาะในการปักแจกันและมีอายุของดอกยืนยาวขึ้น จนทำให้ประเทศไทยสามารถส่งดอกกุหลาบออกไปขายยังต่างประเทศได้ กุหลาบที่ปลูกกันในประเทศไทยเจริญเติบโตได้ดีในฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ต่างประเทศต้องการมากในช่วงฤดูหนาวของประเทศแถบยุโรปจะต้องปลูกในเรือนกระจก ทำให้เสียค่าใช้จ่ายสูงจึงเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะสามารถส่งกุหลาบไปขายยังตลาดต่างประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว กุหลาบที่ปลูกกันในปัจจุบันมีหลายประเภท ได้แก่ กุหลาบตัดดอกปกติมักออกดอกเดี่ยวๆ ดอกมีขนาดโต กลีบดอกซ้อน กุหลาบที่ขายกันในท้องตลาดทั่วไปมักเป็นกุหลาบประเภทนี้ อีกชนิดหนึ่งคือกุหลาบพวงออกดอกเป็นกลุ่มช่อหนึ่งมีหลายดอกและมักจะบานพร้อมๆกัน ขนาดของดอกเล็ก ต้นสูงประมาณครึ่งถึงหนึ่งเมตรเหมาะที่จะปลูกไว้ในแปลงประดับบ้าน ชนิดที่สามคือกุหลาบหนูเป็นกุหลาบที่เป็นพุ่มขนาดเล้กสูง30-60เซนติเมตร มีดอกขนาดเล็กนิยมปลูกในแปลงประดับและเป็นไม้กระถางกุหลาบเลื้อยเป็นกุหลาบอีกชนิดหนึ่งที่มีลำต้นตรง สามารถนำไปเลื้อยพันสิ่งต่างๆ ได้ มีดอกทั้งที่เป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่และดอกเป็นพวงนอกจากนั้นยังมีกุหลาบพุ่มออกดอกเป็นช่อ ขนาดดอกเล็กส่วนมากดอกจะมีกลีบชั้นเดียวพันธ์ุกุหลาบที่นิยมปลูกเพื่อตัดดอกได้แก่ พันธ์ุมาสเตอร์พีซสีแดง ไวท์คริสต์มาส และออลอเมริกันบิวตี้เนื่องจากพันธ์ุกุหลาบเหล่านี้มีคุณสมบัติต่างๆ ที่เหมาะสมในการที่จะนำมาตัดดอกขาย คือลำต้นแข็งแรง มีกิ่งก้านยาวตรง มีหนามน้อยดอกมีสีสะดุดตา และมีกลีบดอกที่ทนต่อการบรรจุหีบห่อและขนส่งนอกจากนั้นดอกจะไม่เหี่ยวเฉาง่ายหลังจากตัดมาแล้วด้วย สถานที่ปลูกกุหลาบควรเป็นที่โล่งแจ้ง ได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าวันละ 6 ชั่งโมง ถ้ากุหลาบได้รับแสงแดดไม่เต็มที่ต้นจะมีอาการเผือใบ ต้นอ่อนแอดอกไม่ดก ในกรณีที่จำเป็นต้องปลูกกุหลาบในบริเวณที่มีร่มเงาไม่สามารถรับแสงแดดได้ตลอดวัน ให้เลือกปลูกตรงที่ได้รับแสงแดดช่วงเช้าจะดีกว่าที่ได้รับแสงแดดในช่วงบ่ายแปลงที่ปลูกกุหลาบควรอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ เพื่อให้ต้นได้รับแสงอย่างเต็มที่ ไม่บังร่มเงาซึ่งกันและกันจะทำให้ลดการระบาดของโรคราอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนั้นสถานที่ปลุกจะต้องไม่มีลมพัดแรง เพราะหากลมพัดมากจะทำให้ลำต้นโยกคลอน รากอาจไม่จับยึดดินและขาดได้ และลมยังทำให้กุหลาบคายน้ำเร็ว รากอาจดูดน้ำขึ้นมาเลี้ยงลำต้นไม่ทัน ต้นจะเหี่ยวเฉา ใบปรุงอาหารไม่เต็มที่ ต้นจะชะงักการเจริญเติบโตและแคระแกรนในที่สุด ดินที่เหมาะสมกับการปลูกกุหลาบคือดินค่อนข้างเป็นกรดคือมี PH ประมาร 5.5 -6.5 แต่ถ้าดินเป็นกรดมากเกินไปให้ใส่ปูนขาวลงไป และถ้าดินเป็นด่างจัดดอกจะแสดงอาการริมกลีบเป็นสีม่วง กลีบดอกจะม้วนและเหี่ยวเร็ว วิธีการแก้ไขคือเติมกำมะถันผงลงไป นอกจากความเป็นกรดเป็นด่างแล้ว ลักษณะทางฟิสิกส์ของดิน ได้แก่ ความโปร่ง มีการถ่ายเทอากาศได้ดีและมีความอุดมสมบูรณ์ สามารถให้ธาตุอาหารต่างๆแก่ต้นกุหลาบอย่างครบถ้วนก็มีความสำคัญ การเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ดินทำได้โดยการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยจากมูลวัวจะดีที่สุด อินทรียวัตถุชนิดต่าง ๆ เช่น แกลบผุ ฟางผุ ซึ่งเป็นอินทรียวัตถุที่เปื่อยเร็วและช่วยให้ปริมาณของอ็อกซิเจนเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของดอกกุหลาบและดินที่โปร่งจะช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในดินให้น้อยลงด้วย ฤดูกาลที่เหมาะกับการปลูกกุหลาบคือฤดูฝนและฤดูหนาว คือประมาณเดือนมิถุนายนและพฤศจิกายน ช่วงฤดูแล้งนั้นอากาศร้อนจัดและแห้งแล้งไม่เหมาะที่จะปลูก เพราะนอกจากกุหลาบจะโตเร็วแล้วยังประหยัดในเรื่องการให้น้ำอีกด้วย ดังนั้นถ้าจะปลูกในฤดูฝนควรจะเตรียมแปลงปลุกให้เสร็จก่อนที่ฝนจะมา และต้นกุหลาบที่นำมาปลุกจะต้องแข็งแรง ข้อได้เปรียบของการปลุกกุหลาบในฤดุฝนคือ ต้นกุหลาบจะมีช่วงการเจริญเติฐโตได้เต็มที่ยาวนานประมาณ6 เดือน กว่าจะถึงฤดูแห้ง ทำให้กุหลาบเจริญเติบโตได้เต็มที่ ดอกกุหลาบที่ได้ในช่วงปลายฤดูฝนและต้นฤดูหนาวจะเป็นดอกขนาดใหญ่และคุณภาพดี และยังเป็นช่วงที่ใกล้เทศกาลสำคัญอีกด้วยซึ่งตลาดมีความต้องการกุหลาบมาก ดังนั้นการปลุกกุหลาบในฤดุฝนจึงได้เปรียบในแง่ที่ว่าสามารถถอนทุนคืนได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การปลูกกุหลาบในฤดุฝนนี้อาจมีปัญหาบ้างในเรื่องของโรคและแมลง โรคที่ระบาดมากคือโรคใบจุด และราสนิมเนื่องจากอากาศมีความชื้นมากเหมาะในการเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ของเชื้อรา ส่วนการปลูกในหนาว
สถานที่ปลูกกุหลาบควรเป็นที่โล่งแจ้ง ได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าวันละ 6 ชั่งโมง ถ้ากุหลาบได้รับแสงแดดไม่เต็มที่ต้นจะมีอาการเผือใบ ต้นอ่อนแอดอกไม่ดก ในกรณีที่จำเป็นต้องปลูกกุหลาบในบริเวณที่มีร่มเงาไม่สามารถรับแสงแดดได้ตลอดวัน ให้เลือกปลูกตรงที่ได้รับแสงแดดช่วงเช้าจะดีกว่าที่ได้รับแสงแดดในช่วงบ่ายแปลงที่ปลูกกุหลาบควรอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ เพื่อให้ต้นได้รับแสงอย่างเต็มที่ ไม่บังร่มเงาซึ่งกันและกันจะทำให้ลดการระบาดของโรคราอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนั้นสถานที่ปลุกจะต้องไม่มีลมพัดแรง เพราะหากลมพัดมากจะทำให้ลำต้นโยกคลอน รากอาจไม่จับยึดดินและขาดได้ และลมยังทำให้กุหลาบคายน้ำเร็ว รากอาจดูดน้ำขึ้นมาเลี้ยงลำต้นไม่ทัน ต้นจะเหี่ยวเฉา ใบปรุงอาหารไม่เต็มที่ ต้นจะชะงักการเจริญเติบโตและแคระแกรนในที่สุด ดินที่เหมาะสมกับการปลูกกุหลาบคือดินค่อนข้างเป็นกรดคือมี PH ประมาร 5.5 -6.5 แต่ถ้าดินเป็นกรดมากเกินไปให้ใส่ปูนขาวลงไป และถ้าดินเป็นด่างจัดดอกจะแสดงอาการริมกลีบเป็นสีม่วง กลีบดอกจะม้วนและเหี่ยวเร็ว วิธีการแก้ไขคือเติมกำมะถันผงลงไป นอกจากความเป็นกรดเป็นด่างแล้ว ลักษณะทางฟิสิกส์ของดิน ได้แก่ ความโปร่ง มีการถ่ายเทอากาศได้ดีและมีความอุดมสมบูรณ์ สามารถให้ธาตุอาหารต่างๆแก่ต้นกุหลาบอย่างครบถ้วนก็มีความสำคัญ การเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ดินทำได้โดยการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยจากมูลวัวจะดีที่สุด อินทรียวัตถุชนิดต่าง ๆ เช่น แกลบผุ ฟางผุ ซึ่งเป็นอินทรียวัตถุที่เปื่อยเร็วและช่วยให้ปริมาณของอ็อกซิเจนเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของดอกกุหลาบและดินที่โปร่งจะช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในดินให้น้อยลงด้วย
ฤดูกาลที่เหมาะกับการปลูกกุหลาบคือฤดูฝนและฤดูหนาว คือประมาณเดือนมิถุนายนและพฤศจิกายน ช่วงฤดูแล้งนั้นอากาศร้อนจัดและแห้งแล้งไม่เหมาะที่จะปลูก เพราะนอกจากกุหลาบจะโตเร็วแล้วยังประหยัดในเรื่องการให้น้ำอีกด้วย ดังนั้นถ้าจะปลูกในฤดูฝนควรจะเตรียมแปลงปลุกให้เสร็จก่อนที่ฝนจะมา และต้นกุหลาบที่นำมาปลุกจะต้องแข็งแรง ข้อได้เปรียบของการปลุกกุหลาบในฤดุฝนคือ ต้นกุหลาบจะมีช่วงการเจริญเติฐโตได้เต็มที่ยาวนานประมาณ6 เดือน กว่าจะถึงฤดูแห้ง ทำให้กุหลาบเจริญเติบโตได้เต็มที่ ดอกกุหลาบที่ได้ในช่วงปลายฤดูฝนและต้นฤดูหนาวจะเป็นดอกขนาดใหญ่และคุณภาพดี และยังเป็นช่วงที่ใกล้เทศกาลสำคัญอีกด้วยซึ่งตลาดมีความต้องการกุหลาบมาก ดังนั้นการปลุกกุหลาบในฤดุฝนจึงได้เปรียบในแง่ที่ว่าสามารถถอนทุนคืนได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การปลูกกุหลาบในฤดุฝนนี้อาจมีปัญหาบ้างในเรื่องของโรคและแมลง โรคที่ระบาดมากคือโรคใบจุด และราสนิมเนื่องจากอากาศมีความชื้นมากเหมาะในการเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ของเชื้อรา ส่วนการปลูกในหนาว ก็มีข้อดีคือฤดูนี้มีแดดจัดและอากาศเย็น ต้นจะโตเร็ว สมบูรณ์แข็งแรง ประกอบกับในฤดูหนาวความชื้นน้อย โรคและแมลงมีไม่มากนัก แต่ช่วงของการเจริญเติบโตของต้นกุหลาบจะสั้นคือประมาณ 4 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ฤดุแล้งซึ่งเป็นช่วงที่ต้นกุหลาบชะงักการเจริญเติบโตตามธรรมชาติ ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการปลุกกุหลาบในฤดูหนาวคือเรื่องการรดน้ำ เพราะฤดูหนาวมีแดดจัดอากาศมีความชื้นต่ำ ดินจะระเหยน้ำได้เร็ว ดังนั้นจึงต้องรดน้ำให้ต้นกุหลาบบ่อยครั้ง ทำให้เป็นภาระของผู้ปลูก การปลูกกุหลาบในฤดูหนาวจึงต้องมั่นใจว่า มีน้ำให้กุหลาบเพียงพอ ถ้าขาดน้ำต้นกุหลาบจะชะงักการเติบโตและแคระแกรนในการปลูกกุหลาบโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ควรจะมีการคลุมดินโดยใช้วัสดุคลุมดินเพื่อช่วยรักษาความชื้นในแปลงปลูก ทำให้น้ำระเหยช้า นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันวัชพืชต่างๆด้วย และวัสดุคลุมดินเองเมื่อสลายตัวก็จะประโยชน์ต่อดินคือให้ธาตุอาหาร ทำให้ดินโปร่งและร่วนชุย
ทำให้ต้นโตเร็วและแตกกิ่งก้านแข็งแรง สำหรับกิ่งที่มีดอกขนาดเล็กหรือดอกไม่ได้ขนาด ควรตัดดอกทิ้งอ เมื่อต้นกุหลาบโตเต็มที่และออกดอกแล้วจะต้องตัดดอกกุหลาบไปจำหน่าย การตัดจะต้องมีใบติดไปด้วย ถ้าตัดดอกยาวเกินไปใบก็จะติดไปมากทำให้ต้นโทรมไม่มีใบปรุงอาหาร และกิ่งที่ออกมาใหม่อาจไม่แข็งแรงเหมือนเดิม อายุในการให้ดอกก็จะสั้นลง ดังนั้นวิธีการตัดดอกกุหลาบควรตัดให้เหลือใบที่สมบูรณ์คือมีใบย่อย 5 ใบ อย่างน้อย 2 ชุด จึงจะทำให้การเจริญของกิ่งที่แตกใหม่เป็นไปอย่างปกติ สำหรับต้นที่ปลุกใหม่หรือต้นที่มีอายุน้อยไม่ควรตักดอก แต่ควรปลิดดอกทิ้งในขณะที่เริ่มมีดอกจะย่าปล่อยจนกระทั่งดอกโรยหรือเหี่ยว เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังดึงอาหารจากต้นมาใช้ และมักจะเป็นเหตุให้เกิดโรคแห้งตายจากปลายก้านขึ้นมาได้ จึงไม่ควรปล่อยทิ้งไว้
บทความของ ดร. วรเดช จันทรสร จากหนังสือรายการจายเสียงของวิทยุศึกษา
ความหมายของสีดอกกุหลาบ
สีแดง หมายถึง ความรักและความปราถนาดี
สีชมพู หมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์
สีขาว หมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์
สีเหลือง หมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
สีขาวและแดง หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
สีส้ม หมายถึง ฉันรักเธอเหมือนเดิม
จำนวนกุหลาบที่ให้แก่กันหมายถึงอะไร
1 ดอก รักแรกพบ
2 ดอก แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
3 ดอก ฉันรักเธอ
7 ดอก คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 ดอก เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 ดอก เธอเป็นคนที่ดีเลิศที่สุด
11ดอก การเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของฉัน
12 ดอก การขอให้เธอเป็นคู่ฉัน
13 ดอก ความเป็นเพื่อนแท้เสมอ
15 ดอก แทนความรู้สึกเสียใจจริง
20ดอก ความจริงใจต่อกัน
21 ดอก การมอบชีวิตอุทิศให้
36 ดอก ความทรงจำที่แสนหวานที่ยังมีต่อกัน
40 ดอก ยืนยันว่าความรักเป็นรักแท้
99 ดอก ฉันรักเธอจนวันตาย
100 ดอกฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
101 ดอก ฉันมีเธอจนวินาทีสุดท้าย
108 ดอก การขอแต่งงานแบบอ้อมๆที่ผู้ให้ไม่กล้าพูด
999 ดอก ฉันจะรักเธอจนวินาทีสุดท้าย
1,000 ดอก ฉันจะรักเธอจนวันตาย
9,999 ดอก ฉันจะรักเธอชั่วนิรันดร
ประโชน์ ของกุหลาบ กลีบดอกแรกแย้มสกัดได้น้ำมันหอมระเหย ใช้แต่งกลิ่นอาหารและเครื่องสำอาง ผล มีวิตามินซีสูง หรือบางที่ใช้ทำไวน์กุหลาบที่มีสีสันน่ารับประทาน
นิยามความรัก
รักคือการเสียสละ Love is sacrifice.
รักคือการให้อภัย Love is forgiven.
รักคือความจริงใจ Love is sincerity.
รักคือทุก ๆสิ่ง Love is everything
รักคือความอดทน Love is patience.
รักคือความอ่อนโยน Love is gentle.
รักคือความบริสุทธิใจ Love is virgin.
รักคือนิรันดร์ Love is eternal.
รักคือยาพิษ Love is poison.
รักคือน้ำผึ้ง Love is honey.
รักคือความเข้าใจ Love is understanding.
รักคือความผูกพัน Love is relationship.
รักคือความหวานซ่อนเปรี้ยว Love is sweet and sour.
รักคือกามารมณ์ Love is sex.
รักคือความเพ้อฝัน Love is romantic.
รักคือความหวัง Love is hope.
รักคือความอบอุ่น Love is warm.
รักคือทุกข์ทรมาน Love is suffering.
รักคือความคิดถึง Love is missing.
รักคือความหวานชื่น Love is happiness.
รักคือความใกล้ชิด Love is close - up.
รักคือการลงทุน Love is business.
รักคือการอุทิศ Love is devoting.
รักคือจุดจบ Love is the end.
วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2557
อัญมณีประจำราศีต่าง ๆ
ราศีมังกร ( 14ม.ค. - 13 ก.พ. ) โกเมน ( พลอยสีแดงเข้ม ) ก่อให้เกิดความมั่นคง, สุขภาพดี, ซื่อสัตย์
ราศีกุมภ์ ( 14 ก.พ. - 13 มี.ค. ) พลอยสีม่วง สร้างความจริงใจ, ซื่อตรงในความรัก
ราศีมีน ( 14 มี.ค. - 13 เม.ย. ) พลอยสีฟ้า สร้างเกียรติยศและความสวยงาม
ราศีเมษ ( 14 เมษา - 13 พ.ค. ) เพชร สร้างโชคลาภ, มีรักที่บริสุทธิ
ราศีพฤษภ ( 14 พ.ค. - 13 มิ.ย. ) มรกต ทำให้กล้าหาญ, แข็งแรง
ราศีมิถุน ( 14 มิ.ย. - 14 ก.ค. ) ไข่มุก ทำให้สุขภาพดี, อายุยืน
ราศีกรฎ ( 15 ก.ค. - 15 ส.ค. ) ทับทิม ทำให้ประสบความสำเร็จ, ป้องกันภัยจากภูติผีปีศาจ
ราศีสิงห์ ( 16 ส.ค. - 16 ก.ย. ) พลอยสีเขียว ให้ความซื่อตรงและภักดี
ราศีกันย์ ( 17 ก.ย. - 16 ต.ค. ) ไพลิน สร้างชัยชนะ, สร้างความรัก, ความเมตตา
ราศีตุลย์ ( 17 ต.ค. - 16 พ.ย. ) โอปอล สร้างความสุขและความหวัง
ราศีพิจิก ( 17 พ.ย. - 16 ธ.ค. ) บุษราคัม ( สีเหลือง ) ทำให้มีมตรที่ดี, และโชคดี
ราศีธนู ( 17 ธ.ค. - 13 ม.ค. ) เพพาย ทำให้มีความเจริญและความมั่งคง
ราศีกุมภ์ ( 14 ก.พ. - 13 มี.ค. ) พลอยสีม่วง สร้างความจริงใจ, ซื่อตรงในความรัก
ราศีมีน ( 14 มี.ค. - 13 เม.ย. ) พลอยสีฟ้า สร้างเกียรติยศและความสวยงาม
ราศีเมษ ( 14 เมษา - 13 พ.ค. ) เพชร สร้างโชคลาภ, มีรักที่บริสุทธิ
ราศีพฤษภ ( 14 พ.ค. - 13 มิ.ย. ) มรกต ทำให้กล้าหาญ, แข็งแรง
ราศีมิถุน ( 14 มิ.ย. - 14 ก.ค. ) ไข่มุก ทำให้สุขภาพดี, อายุยืน
ราศีกรฎ ( 15 ก.ค. - 15 ส.ค. ) ทับทิม ทำให้ประสบความสำเร็จ, ป้องกันภัยจากภูติผีปีศาจ
ราศีสิงห์ ( 16 ส.ค. - 16 ก.ย. ) พลอยสีเขียว ให้ความซื่อตรงและภักดี
ราศีกันย์ ( 17 ก.ย. - 16 ต.ค. ) ไพลิน สร้างชัยชนะ, สร้างความรัก, ความเมตตา
ราศีตุลย์ ( 17 ต.ค. - 16 พ.ย. ) โอปอล สร้างความสุขและความหวัง
ราศีพิจิก ( 17 พ.ย. - 16 ธ.ค. ) บุษราคัม ( สีเหลือง ) ทำให้มีมตรที่ดี, และโชคดี
ราศีธนู ( 17 ธ.ค. - 13 ม.ค. ) เพพาย ทำให้มีความเจริญและความมั่งคง
อัญมณีประจำวันเกิด
วันจันทร์ใช้ บุษราคัม, อำพัน, ไข่มุกสีทอง, แซฟไฟร์สีเหลือง, เพชรสีเหลือง
วันอังคารใช้ โรสควอตซ์, แซฟไฟร์สีชมพู, ไข่มุกสีชมพู
วันพุธใช้ เขียวส่อง, มรกต, หยก, โกเมนเขียว
วันพฤหัสใช้ ไฟร์โอปอล, โกเมนสีส้ม, แซฟไฟร์สีส้ม
วันศุกร์ใช้ ไพลิน, บูลโทปาซ, เทอร์ควอยซ์, เพทายสีฟ้า, เพชรสีฟ้าหรือน้ำเงิน
วันเสาร์ใช้อเมทิสต์, แซฟไฟร์สีม่วง, หยกดำ, โอนิกซ์
วันอาทิตย์ใช้ ทับทิม, โกเมน, เทพาย, เพชรสีแดง
วันอังคารใช้ โรสควอตซ์, แซฟไฟร์สีชมพู, ไข่มุกสีชมพู
วันพุธใช้ เขียวส่อง, มรกต, หยก, โกเมนเขียว
วันพฤหัสใช้ ไฟร์โอปอล, โกเมนสีส้ม, แซฟไฟร์สีส้ม
วันศุกร์ใช้ ไพลิน, บูลโทปาซ, เทอร์ควอยซ์, เพทายสีฟ้า, เพชรสีฟ้าหรือน้ำเงิน
วันเสาร์ใช้อเมทิสต์, แซฟไฟร์สีม่วง, หยกดำ, โอนิกซ์
วันอาทิตย์ใช้ ทับทิม, โกเมน, เทพาย, เพชรสีแดง
งานโครงการหลวง 45
พาเที่ยวงานโครงการหลวง 45 ที่จัดขึ้นบริเวณชั้น 1 ของห้าง Central world เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติองค์ ในหลวงและสมเด็จพระราชินีนาถ เนื่องในวันแม่แห่งชาติ จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 8 - 17 ส. ค. 2557 ภายในงานมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการหลวง พืชและผักเมืองหนาวชนิดต่าง ๆ รวมถึงมีการออกร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าโครงการหลวงชนิดต่าง ๆ อีกด้วย และภายในงานยังมีการแสดงดนตรีด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)