ผึ้ง เป็นแมลงที่จัดอยู่ในประเภทภมร ซึ่งอาศัยน้ำหวานและเกสรดอกไม้เป็นอาหาร มีทั้งหมดทั่วโลกประมาณ 30,000 ชนิด ภมรกลุ่มนี้ที่รู้จักกันดี ได้แก่ ชันโรง และผึ้งน้ำหวานในสกุลเอฟิส ซึ่งเรามักเรียกกันสั้น ๆ ว่า ผึ้ง
ปัจจุบันผู้บริโภคได้นำผลิตภัณฑ์จากผึ้งมาใช้ประโยชน์ต่อสุขภาพและร่างกายกันมากขึ้นผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้แก่
ไขผึ้ง
หรือที่เราเรียกกันว่าขี้ผึ้ง เกิดจากต่อมไขซึ่งซ่อนอยู่ภายในปล้องท้องด้านล่างของผึ้งงานโดยมันจะผลิตไขผึ้งออกมาในรูปของเกร็ดบาง ๆ สีขาวบริสุทธิ์เหมือนสีน้ำนม ซึ่งเรียกกันโดยทั่ว ๆ ไปว่าเกร็ดไข ซึ่งผึ้งงานจะใช้กรามเคี้ยวเกร็ดไขนี้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างรวงผึ้งต่อไป
ไขผึ้งหรือขี้ผึ้ง ส่วนใหญ่เรานำมาใช้ประโยชน์ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทครีมทาหน้าครีมรองพื้น ครีมนวดผิว ลิปสติกรูจ ฯลฯ
เหตุที่เราจำเป็นต้องเติมไขผึ้งผสมในเครื่องสำอางนี้ก็เพื่อให้เครื่องสำอางแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป เช่น การทำครีมหากไม่ใส่ไขผึ้งลงไปก็จะได้ส่วนผสมน้ำกับน้ำนม ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำนมเท่านั้น แต่ถ้าเราเติมไขผึ้งก็จะช่วยให้เนื้อครีมไม่เหลวเกินไป
นอกจากนี้แล้ว ยังนำไขผึ้งมาใช้ประโยชน์ในการขัดผิว ยาเม็ด ยาเคลือบ หรือลูกกวาด เพื่อให้ผิวมันเนียน รวมทั้งสามารถนำมาหลอมทำเทียนไขด้วย
เกสรผึ้ง
เกสรผึ้งคือ เกสรหรือเซลสืบพันธ์เพศผู้ของดอกไม้ที่ผึ้งไปเก็บรวบรวมมาโดยใช้ขาปัดเขี่ยรวมกันเป็นก้อนกลมห้อยติดไว้ที่ขาหลังสองก้อน ก้อนเกสรที่ผึ้งงานเก็บมาจะมีน้ำหนักประมาณก้อนละไม่กี่สิบมิลลิกรัม แต่ผึ้งบางรังอาจเก็บเกสรได้ถึงวันละครึ่งถึงหนึ่งกิโลกรัม หากสภาพแวดล้อมบริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์พอเพียง
มีความเชื่อกันว่า ผึ้งเป็นแมลงที่มีสมรรถนะในการเก็บเกสรดอกไม้ได้ดีกว่าแมลงชนิดอื่น โดยจะนำเกสรดอกไม้มาใช้ในรูปของอาหาร ซึ่งในเกสรดอกไม้ที่ผึ้งนำมานี้จะประกอบดัวยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และแร่ธาตุต่าง ๆ เหมาะสำหรับเป็นอาหารของประชากรผึ้งในรัง โดยเฉพาะเกสรที่นำมาบ่มในรังจนผนังเกสรนุ่มยังมีประโยชน์สำหรับใช้เลี้ยงตัวอ่อนอีกด้วย
สำหรับการนำเกสรผึ้งมาใช้ประโยชน์นั้น เราได้มาโดยการสร้างกับดักเกสรซึ่งนำไปสอดไว้ที่ปากทางเข้าออกรังผึ้ง เวลาที่ผึ้งงานกลับสู่รัง ตะแกรงที่ติดไว้ในกับดักจะครูดก้อนเกสรที่ติดมากับขาหลังให้ร่วงหล่นในภาชนะรองรับที่อยู่ส่วนล่างของกับดักเกสรหลังจากนั้นจึงนำเกสรเหล่านั้นมาตากแดดหรืออบที่อุณหภูมิประมาณ 60 ํ C เพื่อให้ความเหนียวที่ติดอยู่หลุดออกไป
นมผึ้ง
นมผึ้งหรือที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า รอยัล เจลลี่ ( Royal Jelly ) เป็นสารที่ผึ้งงานขับออกมาจากต่อมใต้สมองเพื่อนำไปเลี้ยงนางพญาผึ้ง ในขณะที่ยังเป็นตัวอ่อนมีลักษณะเหมือนครีมข้นสีขาวหรือแป้งเปียกข้น ๆ ผึ้งงานผลิตสารนี้แล้วขับออกมาทางปากป้อนให้กับตัวอ่อนของผึ้งงาน และตัวอ่อนผึ้งตัวผู้ ส่วนตัวอ่อนของผึ้งนางพญานั้นจะได้รับอาหารชนิดนี้มากกว่าเป็นพิเศษ นอกจากนี้ รอยัลเจลลี่ ยังเป็นอาหารที่บรรดาผึ้งงานป้อนให้กับผึ้งนางพญาด้วย เพื่อเสริมแทนโปรตีนที่ต้องใช้ในการผลิตไข่ ดังนั้น คนทั่วไปจึงเชื่อว่า รอยัล เจลลี่ เป็นสิ่งผลิตจากผึ้งที่มีคุณภาพพิเศษ เพราะรอยัล เจลลี่ ประกอบด้วยน้ำตาล โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ ไวตามินบีต่าง ๆ มีอยู่ค่อนข้างสูง ส่วนไวตามิตซี และไวตามินดี มีอยู่ในปริมาณที่ตรวจพบได้
วิธีการนำ รอยัล เจลลี่ออกจากรังผึ้งนั้น มีขั้นตอนยุ่งยากคือ จะต้องนำตัวอ่อนของผึ้งที่มีอายุ 1 วันใส่ในถ้วยพลาสติกเล็ก ๆ ที่ทำเลียนแบบถ้วยนางพญาแล้วปล่อยทิ้งไว้ในรังผึ้งที่มีประชากรหนาแน่น ผึ้งงานเหล่านี้จะระดมให้อาหารแก่ตัวอ่อนที่อยู่ภายในถ้วยเพราะเข้าใจว่าตัวอ่อนเหล่านี้ คือนางพญา หลังจากนั้นประมาณ 3 วัน จึงใช้ปากคีบ คีบเอาตัวอ่อนออกทิ้งแล้วจึงใช้ช้อนเล็ก ๆ ตักรอยัล เจลลี่ รวบรวมไว้ซึ่งถ้วยผึ้งนางพญาพันกว่าถ้วยนี้จะให้รอยัล เจลลี่ เพียงครึ่งกิโลกรัมเท่านั้น
ในเมืองไทยมีแต่การนำรอ เจลลี่ มารับประทานสด ๆ หรือไม่ก็ผสมกับน้ำผึ้งเพื่อปรุงรสชาติให้น่ารับประทานยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ในต่างประเทศได้นำมาผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่นครีมลบรอยย่น และบรรจุในรูปแคปซูลเพื่อเป็นอาหารเสริม
น้ำผึ้ง
น้ำผึ้ง คือ น้ำหวานของดอกไม้ ซึ่งถูกน้ำย่อยในน้ำลายของผึ้ง เปลี่ยนสภาพเป็นคาร์โบ"ฮเดรตในรูปที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที โดยให้พลังงาน 315 - 335 กิโลแคลลอรี่ / 100 กรัมจึงนับเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ทรงคุณค่าทางอาหารแก่บุคคลทุกเพศ ทุกวัย ที่ช่วยเสริมสร้างพลังงาน
พิษผึ้ง
พิษผึ้ง มีประโยชน์ต่อมนุษย์ไม่น้อยหน้ากว่าผลิตภัณฑ์อื่น โดยเฉพาะองค์ประกอบทางเคมีของพิษผึ้ง เช่น อิสตามิน โดนามิน ฯลฯ ซึ่งมีคุณค่าทางการแพทย์มาก โดยในต่างประเทศได้มีการสกัดพิษผึ้งเพื่อรักษาโรครูมาติซั่ม แต่สำหรับในเมืองไทยนั้น ยังไม่มีการค้นคว้าวิจัยพิษของผึ้งมากเท่าใดนัก
ปัจจุบันได้มีการนำผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผึ้งมาใช้ประโยชน์อย่างมากมาย เช่น ใช้ในรูปของอาหารและยา รวมทั้งเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่างแพร่หลายการนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาใช้ในรูปของอาหาร อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดอาการแพ้ขึ้นได้ ดังนั้นผู้ที่แพ้เกสรดอกไม้จึงควรเลือกใช้ด้วยความระมัดระวัง หากต้องการบำรุงร่างกายให้เป็นปกติสุข การรับประทานอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ลดความเครียด ความวิตกกังวล รวมทั้งสิ่งเสพติดต่าง ๆ ก็น่าจะเป็นการเพียงพอ
ข้อมูลจาก สคบ.สาร ปีที่ 13 ที่พิมพ์ ในหนังสือ รายการกระจายเสียง วิทยุศึกษา เดือน สิงหาคม 2534